สวัสดีครับ ผมชื่อนายรัฐวิทย์ เตชะจงจินตนา ขณะนี้ผมกำลังศึกษาอยู่ที่คณะสถาปัตยกรรมศาตร์
ลาดกระบัง ชั้นปีที่ 4 แล้ว
แต่ถ้าถามผมถึงตอนก่อนที่ผมจะได้เข้ามาศึกษาที่สถาบันแห่งนี้ ในคณะนี้
ก็น่าจะต้องย้อนไปถึงตอนสมัยมัธยม ที่โรงเรียนบดินทรเดชา(สิงห์ สิงหเสนี)
เป็นโรงเรียนที่ให้อะไรกับผมไว้หลายๆอย่าง ให้มากกว่าวิชาความรู้ ให้ประสบการณ์ชีวิตต่างๆมากมาย ให้เพื่อนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา และที่สำคัญ
ที่ผมเข้ามาเรียนที่คณะสถาปัตยกรรมศาตร์
และอยู่จนถึงทุกวันนี้ได้ผมก็คิดว่าเป็นเพราะโรงเรียนบดินทรเดชา ที่ผมจบมานั้นเอง
โรงเรียนสอนได้ให้ผมเข้าสังคม พบปะผู้คนมากหน้าหลายตา และสังคมที่ผมชอบตอนนั้น
ก็เป็นสังคมของเพื่อนพ้อง น้อง พี่ การทำกิจกรรมต่างๆร่วมกัน
ผมทำกิจกรรมต่างๆร่วมกับโรงเรียนมากมาย และช่วงนั้น ทำให้ผมได้รู้ว่าผมเป็นคนรักอิสระ
ชอบพบเจอสิ่งใหม่ๆ ไม่ชอบอะไรที่มันซ้ำซากจำเจ ไม่ชอบกฎระเบียบแบบแผนตายตัว
ชอบที่จะทำสิ่งแปลกใหม่อยู่เสมอ ทำให้ความคิดในการเรียนต่อด้านการออกแบบจึงเข้ามาอยู่ในหัวของผม
ในตอนนั้น คำว่า สถาปนิก ในความคิดของผมนั้น ผมอาจยังไม่รู้จักคำคำนี้ดีมากนัก คิดว่า สถาปนิก เป็นนักออกแบบบ้าน เป็นนักดีไซน์ข้าวของเครื่องใช้เจ๋งๆ เป็นผู้ที่ใช้ความคิด สร้างสรรค์ผลงานอันเป็นที่น่าจดจำขึ้นบนโลกใบนี้ รวมถึงการชอบดูภาพยนตร์ไทยของผมในช่วงนั้น เป็นช่วงที่ค่าย GTH กำลังดังมาก และผมคิดว่าผู้กำกับภาพยนตร์หลายๆท่านที่ผมดูก็จบมาจากคณะสถาปัตยกรรมเหมือนกัน และภาพลักษณ์ของการเรียนสถาปัตในหนังก็ช่างเป็นอะไรที่เย้ายวน และเท่เหลือหลายเท่านั้นแหละครับ ทำให้ผมอยากเรียนคณะสถาปัตยกรรมอย่างเต็มตัว และเข้ามาศึกษาในคณะสถาปัตยกรรมศาตร์ ลาดกระบัง เป็นที่เรียบร้อย
พอเข้ามาปี 1 เท่านั้นแหละครับ ผมก็ต้องเจอสิ่งที่เรียกว่าจุดเปลี่ยนในชีวิตของผมก็เป็นได้ ผมเจอกับวิชาต่างๆที่ไม่คิดว่าจะต้องเจอในความคิดของคณะสถาปัตยกรรมของผม มันเป็นอะไรที่ยากและลำบากสำหรับผมมาก ความคิดเดิมของคณะสถาปัตที่ผมเคยมีถูกเหวี่ยงกระเด็นออกไปจากหัวของผมหมดสิ้น ด้วยพละกำลังอันมหาศาลของทั้ง drawing และ construction ในตอนนั้น ผมท้อและคิดแล้วคิดอีกว่านี่มันยังเหมาะกับเราอยู่มั้ย มันยังเป็นแบบที่เราชอบอยู่หรือป่าว แต่เมื่อผมคิดดูกับคณะอื่นๆแล้ว ก็คงไม่มีคณะไหนที่เหมาะกับผมมากกว่านี้อีกแล้ว และผมก็มักย้อนกลับไปดูภาพยนตร์ที่เคยเป็นแรงบันดาลใจให้ผม กลับมาเป็นกำลังใจให้ผมอีกครั้ง
ผมผ่านปี 1 มาได้ด้วยความที่ยังเหมือนไม่ค่อยมีความรู้อะไรติดอยู่ในหัวเท่าไหร่นัก พร้อมกับต้องมาเจอปี 2 ที่หนักกว่าปี 1 ค่อนข้างมาก เจอทั้งโปรเจคดีไซน์ และ โปรเจคคอน ที่ล้วนแล้วแต่เป็นงานมือ ที่ผมไม่ถนัดเอาสุดๆ แต่ครั้งนี้ถึงงานจะหนักและยากกว่าเดิมมาก ผมก็ไม่คิดจะเปลี่ยนไปเรียนคณะอื่นแล้ว อาจจะเพราะผมเริ่มผูกพันธ์กับงานพวกนี้ วิถีชีวิตแบบนี้ รวมถึงผูกพันธ์กับเพื่อน พี่ และน้อง ที่คอยช่วยเหลือผมมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ ผมรักพวกเขาทุกคนมาก และรู้สึกขอบคุณที่คอยช่วยเหลือผมมาตลอด ผมพูดได้เต็มปาก ถ้าไม่มีพวกเขาเหล่านั้นทุกคน ผมไม่รอดแน่ ขอบคุณมากครับ และเมื่อช่วงเวลาในคณะนี้ผ่านไปเรื่อยๆ มันทำให้ผมได้รู้จักคำว่า สถาปัตยกรรม และ สถาปนิกมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่จากการหาข้อมูลเพิ่มเติม แต่รับรู้จากประสบการณ์ต่างๆในคณะนี้
ในตอนนั้น คำว่า สถาปนิก ในความคิดของผมนั้น ผมอาจยังไม่รู้จักคำคำนี้ดีมากนัก คิดว่า สถาปนิก เป็นนักออกแบบบ้าน เป็นนักดีไซน์ข้าวของเครื่องใช้เจ๋งๆ เป็นผู้ที่ใช้ความคิด สร้างสรรค์ผลงานอันเป็นที่น่าจดจำขึ้นบนโลกใบนี้ รวมถึงการชอบดูภาพยนตร์ไทยของผมในช่วงนั้น เป็นช่วงที่ค่าย GTH กำลังดังมาก และผมคิดว่าผู้กำกับภาพยนตร์หลายๆท่านที่ผมดูก็จบมาจากคณะสถาปัตยกรรมเหมือนกัน และภาพลักษณ์ของการเรียนสถาปัตในหนังก็ช่างเป็นอะไรที่เย้ายวน และเท่เหลือหลายเท่านั้นแหละครับ ทำให้ผมอยากเรียนคณะสถาปัตยกรรมอย่างเต็มตัว และเข้ามาศึกษาในคณะสถาปัตยกรรมศาตร์ ลาดกระบัง เป็นที่เรียบร้อย
พอเข้ามาปี 1 เท่านั้นแหละครับ ผมก็ต้องเจอสิ่งที่เรียกว่าจุดเปลี่ยนในชีวิตของผมก็เป็นได้ ผมเจอกับวิชาต่างๆที่ไม่คิดว่าจะต้องเจอในความคิดของคณะสถาปัตยกรรมของผม มันเป็นอะไรที่ยากและลำบากสำหรับผมมาก ความคิดเดิมของคณะสถาปัตที่ผมเคยมีถูกเหวี่ยงกระเด็นออกไปจากหัวของผมหมดสิ้น ด้วยพละกำลังอันมหาศาลของทั้ง drawing และ construction ในตอนนั้น ผมท้อและคิดแล้วคิดอีกว่านี่มันยังเหมาะกับเราอยู่มั้ย มันยังเป็นแบบที่เราชอบอยู่หรือป่าว แต่เมื่อผมคิดดูกับคณะอื่นๆแล้ว ก็คงไม่มีคณะไหนที่เหมาะกับผมมากกว่านี้อีกแล้ว และผมก็มักย้อนกลับไปดูภาพยนตร์ที่เคยเป็นแรงบันดาลใจให้ผม กลับมาเป็นกำลังใจให้ผมอีกครั้ง
ผมผ่านปี 1 มาได้ด้วยความที่ยังเหมือนไม่ค่อยมีความรู้อะไรติดอยู่ในหัวเท่าไหร่นัก พร้อมกับต้องมาเจอปี 2 ที่หนักกว่าปี 1 ค่อนข้างมาก เจอทั้งโปรเจคดีไซน์ และ โปรเจคคอน ที่ล้วนแล้วแต่เป็นงานมือ ที่ผมไม่ถนัดเอาสุดๆ แต่ครั้งนี้ถึงงานจะหนักและยากกว่าเดิมมาก ผมก็ไม่คิดจะเปลี่ยนไปเรียนคณะอื่นแล้ว อาจจะเพราะผมเริ่มผูกพันธ์กับงานพวกนี้ วิถีชีวิตแบบนี้ รวมถึงผูกพันธ์กับเพื่อน พี่ และน้อง ที่คอยช่วยเหลือผมมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ ผมรักพวกเขาทุกคนมาก และรู้สึกขอบคุณที่คอยช่วยเหลือผมมาตลอด ผมพูดได้เต็มปาก ถ้าไม่มีพวกเขาเหล่านั้นทุกคน ผมไม่รอดแน่ ขอบคุณมากครับ และเมื่อช่วงเวลาในคณะนี้ผ่านไปเรื่อยๆ มันทำให้ผมได้รู้จักคำว่า สถาปัตยกรรม และ สถาปนิกมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ใช่จากการหาข้อมูลเพิ่มเติม แต่รับรู้จากประสบการณ์ต่างๆในคณะนี้
และผมก็สามารถผ่านมายังชั้นปีที่ 3ได้ อะไรต่างๆนานา ดูเหมือนจะค่อยๆลงตัวขึ้น รวมถึงงานในชั้นปีที่ 3
สามารถใข้คอมพิวเตอร์ในการทำงานได้ ทำให้มันเริ่มเข้าทางของผมแล้ว
มีเวลาว่างมากขึ้นนิดหน่อย ทำให้ผมสามารถได้ลองทำงานประกวดแบบและได้รับรางวัลมาบ้างเล็กน้อย
แต่นั้นมันก็เป็นความภาคภูมิใจของผม เป็นแรงและกำลังใจที่ทำให้ผมอยากเรียน ทำงานและประสบความสำเร็จในสายอาชีพนี้ต่อไป
ทีสิสที่ผมอยากจะทำในอนาคตอันใกล้นี้
ผมอยากทำทีสิส พิพิธภัณฑ์ดนตรีและศิลปะ ที่จะพาทุกคนย้อนไปสู่ดนตรีและศิลปะ
ในยุคต่างๆตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ดนตรี ศิลปะ แฟชั่น ในยุคต่างๆที่ทุกคนคิดถึง จะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง
ประวัติศาสตร์ของศิลปะตั้งแต่อดีต ที่จะเหมือนพาคุณข้ามเวลามาจากยุคต่างๆ ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งนี้
ที่จะเป็นทั้งแหล่งเรียนรู้ และแหล่งรวบรวมความทรงจำต่างๆไว้มากมาย
สถาปนิกที่เป็นไอดอล และ
เป็นสถาปนิกในดวงใจของผม คือ sou fujimoto ตอนแรกผมก็ไม่ได้รู้จักสถาปนิกท่านนี้เลย
จนกระทั่งผมตรวจแบบกับอาจารย์ท่านหนึ่งตอนปี 2
อาจารย์ท่านแนะนำให้ผมไปดูงานของสถาปนิกญี่ปุ่น และ
มีชื่อของสถาปนิกท่านนี้อยู่ด้วย ผมเริ่มดูงานของท่านไปเรื่อยๆ และ ชอบมากขึ้น
รวมถึงได้หลายๆงานมาเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานออกแบบของผมอีกด้วย
เนื่องจากญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีพื้นที่จำกัด ในการออกแบบสถาปนิกจึงต้องคิดถึงเรื่องของการใช้พื้นที่ให้เป็นประโยชน์มากที่สุด
รวมถึงการคำนึงถึง human
scale ที่งานของ sou fujimoto สามารถแสดงและสื่อออกมาในรูปของ space ที่แปลกใหม่และน่าสนใจเป็นอย่างมาก
พ่อถือว่าเป็นบุคคลสำคัญที่สุดในชีวิตของผมคนหนึ่ง
พ่อคอยอบรมสั่งสอนผมมาตั้งแต่ยังเล็ก ดุด่าว่ากล่าวในเรื่องที่ไม่ควรทำ ในเรื่องผิด
สอนให้รู้ในสิ่งที่ถูกต้อง และ ให้ผมลองทำในสิ่งที่ผมอยากจะลอง
และพร้อมจะอยู่เคียงข้างผมเสมอไม่ว่าผลออกมาจะเป็นอย่างไร พ่อให้อิสระในการเลือกใช้ชีวิตของผมมาก
แต่ก็ไม่ได้ปล่อยผมเดินไปคนเดียว พ่อยังคอยอยู่ข้างหลังผมเสมอ ถึงทุกวันนี้ผมจะอยู่หอกลับบ้านแค่อาทิตย์ละครั้ง
ผมก็ยังรู้สึกว่าพ่อคอยดูแลผมในทุกๆเรื่องอยู่ไม่ต่างจากผมเป็นเด็กแค่เป็นการดูแลอีกในรูปแบบหนึ่ง
คอยช่วยเหลือผมในทุกๆเรื่อง คอยสนับสนุนผมอยู่ข้างหลัง และคอยเป็นกำลังใจให้เมื่อผมล้ม
และพ่อก็เป็นฮีโร่ประจำใจของผมเสมอ ครอบครัวผมไม่ได้รวยอะไรมากมาย
แต่พ่อก็พยายามหาทุกๆอย่างให้ผมและครอบครัวไม่ต้องลำบาก อยู่อย่างสุขสบาย
พ่อหาทุกอย่างผมได้มีเหมือนที่คนอื่นเขามี พ่อพยายามหาทางให้ผมได้ไปท่องเที่ยวในที่ที่ผมอยากไป
หลายๆที่ ถึงบ้านผมจะไม่ค่อยมีตังมาก แต่พ่อก็บอกว่า อยากให้ลูกมี อยากให้ลูกได้ไป
เพราะเมื่อก่อนพ่ออาจจะไม่มี หรือ ไม่ค่อยได้ทำอะไร พ่อเป็นคนที่เติมสิ่งที่ขาดทุกสิ่งทุกอย่างให้กับผม
ทำให้ผมไม่ต้องการอะไรมากไปกว่านี้ ถึงที่มีอยู่จะไม่ได้ดีเท่าใครๆ
แต่ผมก็ภูมิใจและดีใจมากที่ได้มันมา จากความตั้งใจของพ่อผม
เมื่อผมจบไปเป็นสถาปนิกเต็มตัวแล้ว
ถึงมันจะใช่หรือไม่ใช่กับทางของผม มันจะทำให้ผมเจริญก้าวหน้าร่ำรวยหรือไม่
มันจะทำให้ผมมีอนาคตก้าวไกลแค่ไหน มันไม่สำคัญ ผมสัญญาว่าผมจะตั้งใจทำงานเก็บเงิน
เลี้ยงพ่อแม่ และครอบครัวให้ไม่ต้องลำบาก ทำให้ครอบครัวได้อยู่อย่างสุขสบาย
หายเหนื่อย ที่เหนื่อยมามากกับการเลี้ยงดูผม ไม่ต้องห่วงครับ หลังจากนี้ไปผมจะเป็นคนดูแลทุกคนเอง
และ ซักวันผมจะต้องเป็นสถาปนิกผู้ยิ่งใหญ่อย่างที่ฝันไว้ให้ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น